วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 4 ข้อมูลและฐานข้อมูล

บทที่ 4
ข้อมูลและฐานข้อมูล
• กล่าวนำทั่วไป
ข้อมูล (Data) คือ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เรานำมาให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล คำนวณหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการเช่น ข้อมูลบุคลากร ได้แก่ ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน เป็นต้น
ข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์ ถ้าหากฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มีอันเสียไปยังหาซื้อมาใช้ใหม่ได้ แต่ถ้าหากข้อมูลสูญหายไป หรือตกอยู่ในมือของคู่แข่งหรือในมือของผู้ไม่มีอำนาจหน้าที่ หน่วยงานอาจจะประสบปัญหาในการดำเนินงานได้ทันที
Computer จะดำเนินการต่อข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณ Digital นั่นคือข้อมูลต่าง ๆ จะอยู่ในรูปรหัส 2 สถานะคือ 0 กับ 1 ถ้านำสัญญาณ Digital ทั้งหมด 8 หลัก แต่ละหลักเกิดสถานะได้ 2 ค่า จะทำให้เราสามารถสร้างรหัสขึ้นมาได้ 2x2x2x2x2x2x2x2 หรือ 28 = 256 ค่า
วิธีการเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ใช้หลักการแปลงอักขระที่ใช้ในภาษามนุษย์ให้อยู่ในรูปของเลขในระบบฐานสอง ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 มีชื่อเรียกว่า บิท (Binary Digit) นั่นเอง กลุ่มของบิทมีชื่อเรียกว่า ไบท์ (Byte) ใช้แสดงอักขระของภาษามนุษย์ได้หนึ่งตัว ซึ่งหนึ่งไบท์อาจจะประกอบด้วยบิทจำนวนไม่แน่นอน เช่น อาจจะเป็น 2 บิท, 8 บิท หรือ 9 บิทก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบ เช่นในระบบของไอบีเอ็ม หนึ่งไบท์ มี 8 บิท เช่น
ตัวเลข 1 เก็บในรูปบิทเป็น 11110001
ตัวอักษร A เก็บในรูปบิทเป็น 11000001

ความจุในหน่วยความจำ ใช้หน่วยในการวัดได้หลายหน่วยอยู่ในรูปมาตราวัดดังนี้
1 Byte เท่ากับ 1 อักขระ
1024 Byte 1 Kilo Byte (KB)
1024 KB 1 Mega Byte (MB)
1024 MB 1 Giga Byet (GB)
1024 GB 1 Tera Byte (TB)

• ประเภทของข้อมูล
การจัดแบ่งประเภทของข้อมูลนั้น สามารถกระทำได้หลายวิธี แล้วแต่จะพิจารณาในแง่ใดดังนี้
1. พิจารณาในแง่ของการปฏิบัติงาน แบ่งข้อมูลได้เป็น
 ข้อมูลปฏิบัติงาน หมายถึงข้อมูลย่อยที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง ๆ ตามลักษณะของการปฏิบัติงาน หรือลักษณะของงาน เช่นข้อมูลเวลาเข้าทำงาน,ข้อมูลตารางนัดหมาย (งานตาม Routine)
 ข้อมูลบริหาร หมายถึงข้อมูลที่ได้รับการสรุป คำนวณ จัดเรียง หรือประมวลผลแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจด้านการบริหาร ข้อมูลลักษณะนี้มักจะเรียกรวมกันว่า สารสนเทศ หรือ Information
 ข้อมูลอ้างอิง หรือ Archive เป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้อ้างอิง หรือใช้เป็นหลักฐานต่อไปในอนาคต ได้แก่ข้อมูลเก่าที่ใช้แล้ว (จำเป็นต้องแยกเอาไว้ต่างหาก)

2. พิจารณาในแง่ขององค์กรเอง แบ่งได้เป็น
 ข้อมูลภายใน หมายถึงข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในหน่วยงานเอง เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเอง เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน เช่น งบประมาณ การใช้จ่าย พัสดุคงคลัง
 ข้อมูลภายนอก หมายถึงข้อมูลที่เกิดขึ้นภายนอกหน่วยงาน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ การดำเนินงานของหน่วยงานข้างเคียง ถ้าเป็นบริษัทเอกชนข้อมูลภายนอกคือข้อมูลของบริษัทคู่แข่ง แต่หน่วยงานราชการโดยทั่วไปยังไม่ค่อยใส่ใจในข้อมูลในส่วนนี้มากนัก

3. พิจารณาในแง่ของการบันทึกข้อมูลไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น
 ข้อมูลเชิงจำนวน (Numeric Data) คือข้อมูลตัวเลขที่สามารถคำนวณได้ หาค่าเฉลี่ยได้ เช่นข้อมูลปริมาณน้ำฝนประจำวัน , งบประมาณประจำปี
 ข้อมูลอักขระ (Character Data) คือข้อความ (Text) หมายถึงข้อมูลที่เป็นตัวอักษรและสัญลักษณ์ซึ่งแสดงออกมาได้ เรียงลำดับได้ แต่นำไปคำนวณไม่ได้ เช่น ชื่อข้าราชการ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัว
 ข้อมูลกราฟิก (Graphical Data) หมายถึงข้อมูลที่เป็นจุดพิกัดของรูป หรือแผนที่สำหรับให้คอมพิวเตอร์ใช้ในการสร้างรูป ปัจจุบันนี้นิยมใช้ในการออกแบบสินค้าผลิตภัณฑ์ แบบก่อสร้างอาคาร และแผนที่
 ข้อมูลภาพลักษณ์ (Image) หมายถึงข้อมูลที่แสดงความเข้มและสีของรูปภาพ มักจะได้จาก Scanner หรือกล้อง Digital
 ข้อมูลเสียง (Sound) หมายถึงเสียงที่ได้จากการบันทึกโดย Sound Card มีอยู่สองลักษณะคือ Wav และ MIDI (เสียงดนตรี)

• ข้อมูลที่ดีมีลักษณะอย่างไร
ข้อมูลที่ดีจำเป็นต้องลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจจะทราบ
2. มีความสมบูรณ์
3. มีความทันสมัยหรือเป็นปัจจุบัน
4. มีความถูกต้อง
5. สามารถสืบค้นได้สะดวก

• งานที่จะต้องกระทำกับข้อมูลมีอะไรบ้าง
เมื่อเรานำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการกับข้อมูล เราจำเป็นต้องกระทำหลายอย่างกับข้อมูล คือ
1. การเก็บข้อมูล (Data Acquisition) เป็นการเก็บข้อมูลดิบจากแหล่งกำเนิดข้อมูล เช่นการจดบันทึก
2. การบันทึกข้อมูล (Data Entry) เป็นการแปลงข้อมูลดิบเข้าให้คอมพิวเตอร์รับรู้
3. การตรวจสอบความถูกต้อง (Data Edit) เป็นการนำเอาข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ในคอมพิวเตอร์มาตรวจสอบเพื่อความถูกต้องก่อนนำไปใช้งานจริง
4. การจัดแฟ้มข้อมูล (Filling) คือการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบแฟ้มเอกสารที่ถูกต้อง เหมาะสม ง่ายต่อการค้นหาและเรียกกลับมาใช้
5. การประมวลผล (Data Processing) การเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในแฟ้มข้อมูล จำเป็นจะต้องมีการเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ เพื่อใช้ในการตัดสินใจต่อไป
6. การสอบถามและค้นคืนข้อมูล (Data Query and Retrieval) คือการค้นหาข้อมูลที่ต้องการตามเงื่อนไขที่กำหนดให้
7. การปรับข้อมูลให้ทันสมัย (Update) ข้อมูลที่ดีต้องมีความทันสมัยอยู่เสมอ
8. การจัดทำรายงาน (Report) เป้าหมายของการประมวลผลคือ การจัดทำรายงานเพื่อส่งให้ผู้ใช้หรือผู้บริหาร
9. การทำสำเนา (Duplication) เป็นการนำเอารายงานมาทำสำเนาเอาไว้ เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้เกี่ยวข้อง
10. การสำรองข้อมูล (Backup) เป็นการทำสำเนาแฟ้มข้อมูลทั้งหมดลงในสื่อบันทึกข้อมูล เช่นเทปแม่เหล็ก หรือจานแม่เหล็ก (Hard Disk) เพื่อป้องกันความเสียหายของข้อมูล การ Backup ข้อมูลอาจจะกระทำทุกสัปดาห์
11. การกู้ข้อมูล (Data Recovery) เป็นงานที่ต้องทำเมื่อข้อมูลเกิดความเสียหาย ซึ่งการกู้ข้อมูลนั้นเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ผู้ชำนาญ
12. การสื่อสารข้อมูล (Data Communication) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูลจาที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
13. การทำลายข้อมูล (Data Scraping)

• แฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์และแฟ้มเอกสาร
แฟ้มเอกสาร (File) ที่เราเก็บไว้ในหน่วยงานนั้น มักจะเรียงเป็นเรื่องย่อย ๆ มากมายหลายอย่างอยู่ในแฟ้มเดียว เช่นแฟ้มประวัติรับราชการ จะประกอบไปด้วยคำสั่งต่าง ๆ มากมาย หยิบแฟ้มเดียวอาจจะรู้ได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับกำลังพลคนนั้น ๆ และแฟ้มเหล่านี้ก็จะรวมไว้ในตู้เหล็กที่เขียนชื่อตู้ว่าประวัติกำลังพล
แฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ (File) จะมีลักษณะเหมือนกับแฟ้มเอกสาร แต่เราจะเลือกบันทึกรายละเอียดบางอย่างของเรื่องเดียวกันลงไปในนั้น เช่น แฟ้มประวัติพื้นฐาน, แฟ้มประวัติการศึกษา, แฟ้มประวัติการทำงาน(ตำแหน่ง) เป็นต้น
ตัวอย่างแฟ้มข้อมูลประวัติพื้นฐานกำลังพล (ย่อ ๆ)

หมายเลขประจำตัว
ชื่อ สกุล วัน-เดือน-ปี เกิด
1277200899 สายฟ้า ดาวเทียม 11/12/08
1123014558 ไมเคิล ทิงนองนอย 20/08/01





• ฐานข้อมูล (Data Base)
ฐานข้อมูล คือ ที่รวมของแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่มีความสำพันธ์กันหรือเกี่ยวข้องกันไว้ด้วยกัน เช่นฐานข้อมูลประวัติกำลังพล อาจจะประกอบไปด้วยแฟ้มประวัติทั่วไป, ประวัติการศึกษา, ตำแหน่ง, ชั้นเงินเดือน และอื่น ๆ
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management System: DBMS) คือ โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับเป็นตัวจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล อันได้แก่การสร้างตาราง (Table) การสร้างแบบค้นหา (Query) การสร้างแบบรายงาน (Report) การดูแลรักษาข้อมูลให้มีความทันสมัย การสำรองข้อมูล และระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ด้วย ในปัจจุบันนี้ DBMS ที่ได้รับความนิยมมากมีอยู่หลายตัว เช่น Oracle, Informix, My SQL, Access, FoxPro เป็นต้น

• ประเภทของฐานข้อมูล
ประเภทของฐานข้อมูล แบ่งตามลักษณะของข้อมูลที่จัดเก็บได้เป็นหลายแบบ ดังนี้
1. ฐานข้อมูลข้อความ (Text Database) เป็นฐานข้อมูลที่เก็บบันทึกข้อความต่าง ๆ เอาไว้อ้างอิง เช่น ฐานข้อมูลคำพิพากษาศาลฏีกา, จดหมายเหตุต่าง ๆ ฐานข้อมูลข้อความนี้สามารถค้นหาตามข้อความได้อ้างได้
2. ฐานข้อมูลภาพ (Image Database) คือฐานข้อมูลรูปภาพต่าง ๆ
3. ฐานข้อมูลตัวเลข (Numeric Database) คือฐานข้อมูลสถิติ หรือตัวเลขที่สามารถนำไปคำนวณได้ เช่น ผลคะแนนสอบผู้สอบเข้ามหาวิทยาลัยในแต่ละปี
4. ฐานข้อมูลองค์กร (Corporate Database) เป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ทั้งข้อความ ตัวเลข และภาพที่เกี่ยวข้องกับงานขององค์กรเอาไว้ เพื่อค้นคืนออกมาในการปฏิบัติงาน หรือในการบริหารตัดสินใจ ฐานข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ ฐานข้อมูลบุคลากร ฐานข้อมูลพัสดุคงคลังต่าง ๆ เป็นต้น

• การประมวลผล (processing)
เป็นขั้นตอนหรือการกระทำที่ใช้ในการเปลี่ยน Input ให้เป็น Output หรือการเปลี่ยน Data เป็น Information ซึ่งจะต้องอาศัยการปฏิบัติ 5 ขั้นตอน คือ
1. การนำข้อมูลเข้า
2. การจัดเก็บข้อมูล
3. การจัดการกับข้อมูล
4. การแสดงผลข้อมูล
5. การควบคุม

• การจัดการข้อมูล สำหรับการจัดการเก็บข้อมูลที่เก็บอยู่ในสื่ออาจทำได้หลายอย่างดังนี้
1. การปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย (Update)
คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแฟ้มหรือฐานข้อมูลในกรณีที่พบความผิดพลาด ทำได้ดังนี้
- ลบระเบียน (Deleting)
- การแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง (Changing)
- การเพิ่มระเบียน (Inserting หรือ Adding)
2. การเรียงข้อมูล (Sorting)
จำเป็นต้องเรียงและจัดหมวดหมู่คำศัพท์ไว้เพื่อง่ายต่อการค้นหา
3. การเลือกข้อมูล (Selecting)
ในฐานข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลจำนวนมาก แต่มีข้อมูลเพียงบางส่วนที่จะใช้หรือเป็นผลลัพธ์ของการประมวลผล
4. การรวมข้อมูล (Merging)
ในระหว่างการเตรียมข้อมูลจะมีแฟ้มข้อมูลย่อยๆ หลายแฟ้ม เราต้องนำมารวมให้เป็นแฟ้มใหญ่

• การจัดองค์กรของแฟ้มข้อมูล (File Organization)
1. แฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ เป็นการจัดระเบียบของแฟ้มให้เรียงจากน้อยไปมากหรือ จากมากไปน้อยตามข้อกำหนดของเขตข้อมูลที่เรียกว่าคีย์ ข้อจำกัดคือจะต้องทำการ Update ข้อมูลก่อนนำไปใช้และไม่เหมาะกับงานที่ต้องการการตอบโต้กับผู้ใช้
2. แฟ้มข้อมูลแบบตรง จุดประสงค์สร้างขึ้นเพื่อให้มีการประมวลผลแบบโต้ตอบ คือ สามารถเข้าถึงระเบียนที่ต้องการได้โดยตรง
3. แฟ้มข้อมูลเชิงดรรชนี การจัดแฟ้มข้อมูล แบบเรียงลำดับเชิงดรรชนีเป็นวิธีการรวมกลุ่มระเบียนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งแบบเรียงลำดับและแบบโดยตรง

• ฐานข้อมูล (Database)
ประโยชน์จากฐานข้อมูล คือลดความซ้ำซ้อนของแฟ้มข้อมูล ลดการประมวลซ้ำซ้อน และลดการจัดการข้อมูลซ้ำซ้อนกัน การจัดการฐานข้อมูล แบ่งการจัดการเป็น 2 ส่วนคือ
1. ผู้ควบคุมหรือบริหารฐานข้อมูล
2. DBMS ระบบการจัดการฐานข้อมูล

• ประเภทของสารสนเทศ แบ่งได้เป็น 4 ประเภท
1. Transaction Processing System (TPS) คือ ระบบการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากรายการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ประจำวัน หรือรายการทรานแซกชั่นวันต่อวัน
2. Management Information System (MIS) มีความสามารถในการทำการเปรียบเทียบข้อมูล จึงทำให้สามารถผลิตสารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้บริหารได้ MIS คือระบบที่นำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการผลิตสารสนเทศสำหรับใช้ในการบริหารองค์กรได้อย่างถูกต้องและทันการณ์
3. Decision Support System (DSS) ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้โดยดูจากข้อมูลสรุปหรือข้อมูลเปรียบเทียบที่ได้ทั้งจากภายในและนอกองค์กร ถ้าเปรียบเทียบระบบอื่นแล้ว DSS จะมีการวิเคราะห์มากกว่า และถูกออกแบบมาเพื่อใช้จัดการกับปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างซึ่งจะไม่สามารถกำหนดตัวแปรไว้ก่อนได้
4. Expert System คือระบบที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับวิชาใดวิชาหนึ่งมาจากผู้เชี่ยวชาญในวิชานั้น ๆ แล้วนำมาใส่ในระบบคอมพิวเตอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น